วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไหมอีรี่ กับที่มา






ไหมอีรี่ eri silk, Philosamia ricini เป็นผีเสื้อกลางคืนในอันดับ Lepidopteraวงศ์ Saturniidae มีวงจรชีวิตประมาณ 45-60 วัน ในระหว่างเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็น 4 ระยะ คือระยะไข่ 8-10 วัน ระยะตัวหนอน 18-23 วัน ระยะดักแด้ 12-17 วัน และระยะผีเสื้อ 7-10 วัน แม่ผีเสื้อวางไข่สีขาวเป็นกลุ่ม ๆ และวางไข่อยู่ได้หลายวัน เปลือกไข่ค่อนข้างแข็ง เมื่อใกล้ฟักไข่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาและดำ สำหรับแม่ผีเสื้อที่แข็งแรงสมบูรณ์จะวางไข่อยู่ได้หลายวัน เปลือกไข่ค่อนข้างแข็ง เมื่อใกล้ฟักไข่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาและดำ สำหรับแม่ผีเสื้อที่แข็งแรงสมบูรณ์จะวางไข่ได้โดยเฉลี่ยประมาณ 300 ฟอง หลังจากฟักออกจากไข่ หนอนไหมอีรี่จะเริ่มกินพืชอาหารทันทีและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หนอนไหมแรกฟัก ตัวจะมีสีเหลืองน้ำตาล หัวมีสีน้ำตาลเข้มจนดำ ลำตัวแต่ละปล้องจะมีขนสีดำ เมื่อโตขึ้นส่วนหัวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง โดยมีบริเวณสีดำที่แก้มเมื่อถึงวัยสี่และห้า เมื่อขึ้นวัยตามลำตัวจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล ขนสีดำบนลำตัวเปลี่ยนเป็นหนามสีขาวที่เป็นเพียงก้อนเนื้อที่ไม่แหลมคม หนอนไหมวัยห้าจะกินอาหารมากและตัวโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวหนอนที่โตเต็มที่จะมีขนาดยาว 6.5-7 เซนติเมตร ระยะตัวหนอนจะมีการลอกคราบ 4 ครั้งก่อนเข้าดักแด้ เมื่อไหมสุกพร้อมจะเข้าดักแด้ ลำตัวจะหดสั้นลงและมีสีเหลืองอ่อนใส
ก่อนเข้าดักแด้หนอนไหมจะหยุดกินอาหาร และถ่ายของเสียออกมาจนหมดกระเพาะ แล้วตัวหนอนจะเริ่มเดินไปมา เพื่อหาที่เหมาะสมต่อการทำรังเข้าดักแด้ โดยปกติมักเป็นตามมุมที่หลบซ่อนได้ จากนั้นจะเริ่มทำรังหุ้มตัวเอง ด้วยการคายสารออกมาจากต่อม silk glands สารนี้เมื่อถูกอากาศจะแข็งตัวเป็นเส้นใย หนอนไหมจะใช้เวลาทำรังเสร็จภายใน 3 วัน ตัวหนอนจะฟักอยู่ภายในรังและเริ่มเข้าดักแด้ ลำตัวดักแด้อ้วนตันมีสีน้ำตาล มีขนาดโดยเฉลี่ย 1.2x2.8 เซนติเมตร โดยเพศเมียจะมีขนาดใหญ่ เมื่อกางปีกเต็มที่จะยาวถึง 4-5 นิ้ว ปีกมีสีน้ำตาลดำปนเทาและมีเส้นขวางกลางปีกสีขาว ตรงกลางของแต่ละปีกจะมีรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีเหลืองขาวตัดขอบด้วยสีดำส่วนท้องของตัวผู้จะเล็กกว่าตัวเมีย ตัวผู้ที่ออกจากดักแด้ใหม่ ๆ จะเกาะนิ่งห้อยตัวลงมาปราณ 1-2 ชั่วโมงจนปีกแห้ง หลังจากนั้นจะกระพือปีกและเริ่มเข้าหาตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ ตัวเมียจะวางไข่ตอนกลางคืน และอาจวางไข่ได้ 2-3 คืน ผีเสื้อไม่บินและไม่กินอาหาร
ไหมอีรี่สามารถเลี้ยงได้ตลอดปีประมาณ 4-5 รุ่นต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่สามารถเลี้ยงได้ทั้งในที่สูงและที่ราบ และที่อุณหภูมิช่วงตั้งแต่ 25 ถึง 45° C (Sarkar, 1988) ไหมอีรี่กินใบละหุ่งและใบมันสำปะหลังเป็นอาหาร การทดลองเลี้ยงไหมอีรี่ด้วยพืชอาหารชนิดต่าง ๆ เช่น ใบละหุ่ง มันสำปะหลัง มะละกอ อ้อยช้าง สบู่ดำ มะยมป่าและสันปลาช่อน พบว่าใบละหุ่งใช้เลี้ยงไหมอีรี่ได้ดี่สุด รองลงมาคือใบมันสำปะหลัง ส่วนพืชอื่น ๆ นั้นอาจใช้ทดแทนกันได้ระยะหนึ่งในช่วงที่พืชอาหารหลักขาดแคลน แต่ไม่สามารถใช้เลี้ยงจนครบวงจรชีวิตได้ (ทิพย์วดี และคณะ 2535 : Sengupta and Singh,1974) ในการเลี้ยงไหมอีรี่สามารถใช้ใบมันสำปะหลังและละหุ่งสลับกันได้ (Joshi and Misra, 1982) นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า ใบของต้นมันลาย มันต้น และใบลั่นทมสามารถใช้เลี้ยงไหมอีรี่ได้เช่นกัน (Sivilai et al. 2004)

ลักษณะของรังและเส้นใยไหมอีรี่
รังไหมอีรี่ที่สร้างขึ้นห่อหุ้มตัวเองตอนเข้าดักแด้ เป็นเส้นใยที่ประกอบด้วยสาร dibroinล้อมรอบด้วยสาร sericin ซึ่งเป็นสารเหนียวเพื่อประสานเส้นใยให้เป็นรังหุ้มหนอนไหมไว้ รังไหมอีรี่ลักษณะยาวเรียวสีขาวค่อนข้างแบนขนาดเฉลี่ย 2.1x4.8 เซนติเมตร เส้นใยจะสานกันหลวมกว่ารังไหมหม่อน ปลายข้างหนึ่งค่อนข้างแหลม ปลายอีกข้างหนึ่งของรังจะเปิดเป็นช่องเล็ก ๆ เพื่อให้ผีเสื้อออกจากรังได้ ต่างจากรังไหมหม่อนซึ่งมีรังปิดหมดทุกด้าน เส้นใยไหมอีรี่จึงมิได้เป็นเส้นเดียวยาวตลอดเหมือนไหมหม่อน แต่จะเป็นเส้นสั้น ๆ วิธีดึงเส้นใยออกจากรังไหมอีรี่ที่ดีที่สุด คือใช้วิธีปั่น(spun) แบบเดียวกับการปั่นฝ้าย ไม่ใช้วิธีสาว (reel) แบบไหมหม่อน การปั่นเส้นใยออกจากรังไหมอีรี่จำเป็นต้องละลายสารเหนียวที่เคลือบเส้นไหมออกก่อนนำไปปั่น โดยอาจใช้สารละลายด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์ การละลายสารเหนียวออกก่อนทำให้ได้เส้นใยปริมาณมาก มีคุณภาพดี ปั่นออกง่าย และเส้นไม่เปื่อยยุ่ย (วราพิชญ์ 2539) เส้นไหมปั่นเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมด้ายปั่นมาก เพราะเส้นไหมมีความเหนียวและยาวกว่าเส้นใยฝ้าย มีความแวววาวสวยงามกว่าฝ้าย และราคาดีกว่าฝ้าย ในปัจจุบันอุตสาหกรรมไหมปั่นต้องอาศัยวัตถุดิบจากเศษไหมหม่อนหรือรังไหมหม่อนที่เสียและสาวไม่ได้ ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้มีไม่เพียงพอจะป้อนโรงงานไหมปั่น (สุธรรม 2534) อย่างไรก็ตามอาจดึงเส้นใยจากรังไหมอีรี่ด้วยวิธีการสาวได้เช่นกัน โดยใช้เครื่องสาวไหมพื้นบ้านที่เกษตรกรมีอยู่ หรือเครื่องสาวไหมแบบใหม่ที่มีการพัฒนาปรับปรุงขึ้นมาใช้ การดึงเส้นใยจากรังไหมอีรี่ไม่ต้องต้มรังโดยยังมีดักแด้อยู่ในรัง เพราะรังเป็นแบบรังเปิด สามารถตัดเปลือกรังหรือรอให้ผีเสื้อออกมาก่อนจึงนำรังไปต้ม ทำให้ไม่ขัดต่อความรู้สึกของผู้ใช้ที่ไม่ต้องการฆ่าตัวไหม เส้นไหมอีรี่ที่สาวได้จะมีลักษณะฟู เส้นเป็นปุ่มปมไม่เรียบ



เส้นไหมอีรี่ติดสีได้ดีไม่ว่าจะใช้สีสังเคราะห์หรือสีธรรมชาติ ปัจจุบันมีความสนใจผ้าพื้นเมืองที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติมาก เพราะสีธรรมชาติให้สีที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ฉูดฉาด ดูสบายตาและไม่เบื่อง่าย ที่สำคัญคือสีธรรมชาติละลายน้ำได้และมีจุลินทรีย์ย่อยสลายได้ ทำให้ไม่ตกค้างก่อให้เกิดมลพิษ จึงปลอดภัยต่อผู้ใช้และสภาพแวดล้อม วัตถุดิบในท้องถิ่นหลายชนิดให้สีต่าง ๆ กันทำให้เกิดความหลากหลายของสีย้อมที่มีความสวยงามต่างกันไป ได้มีการย้อมเส้นใยไหมอีรี่ด้วยสีธรรมชาติหลายชนิด เช่น สีที่ได้จากใยมะพร้าว เปลือกประดู่ มะเกลือดิบ ใบขี้เหล็ก ขมิ้น ครั่ง ใบหูกวาง ใบสบู่เลือด เปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ เปลือกเมล็ดฝางแดง และมะเกลือ เป็นต้น พบว่าเส้นใยไหมอีรี่ติดสีได้ดีและสวยงามแปลกตามาก


เส้น ไหมอีรี่นั้นมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง ในแคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย มีความต้องการเส้นไหมอีรี่มากกว่าไหมหม่อนเสียอีก เพราะเส้นไหมอีรี่มีความหนานุ่ม ไม่สากระคายมือเหมือนไหมทาซาร์ รักษาคุณภาพทนทานดีกว่าไหมหม่อน ดูดซับเหงื่อและระบายอากาศได้ดี ทำให้ใส่แล้วรู้สึกอบอุ่นสบาย ซักล้างทำความสะอาดได้ด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปไม่ต้องใช้การซักแห้ง เส้นไหมที่ผลิตได้จะมีความเงามัน สวยงามแปลกตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Maxwell-Lefroy and Ghosh,1912) มี การส่งเสริมการผลิตไหมอีรี่อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศอินเดียและประเทศจีน เพื่อส่งรังไหมเข้าโรงงานอุตสาหกรรม แต่การเลี้ยงไหมอีรี่ในประเทศทั้งสองไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะสภาพดินฟ้าอากาศไม่อำนวย ทำให้ขาดแหล่งพืชอาหารที่เหมาะสมและอุดมสมบูรณ์ตลอดปีจึงไม่สามารถเลี้ยงไหม อีรี่ได้ตลอดทั้งปี
สำหรับ ประเทศไทยการเลี้ยงไหมอีรี่เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2517 โดยกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำเข้ามาจากประเทศอินเดีย มีการศึกษาถึงวิธีการเลี้ยงที่เหมาะสมด้วยใบละหุ่งและใบมันสำปะหลัง และรักษาสายพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัยพริ้ว จังหวัดจันทบุรี (พิสิษฐ์ และเตือนจิตต์ 2520) ต่อมาได้มีการนำไหมอีรี่ขึ้นไปเลี้ยงบนดอยอ่างขางและดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้โครงการวิจัยเกษตรที่สูงเพื่อเป็นอาชีพเสริมให้ชาวเขาทดแทนการปลูก ฝิ่น ซึ่งชาวเขาสามารถเลี้ยงได้ดี แต่ก็ไม่สามารถเลี้ยงได้ตลอดปี เนื่องจากอากาศหนาวเย็นและ การขาดแคลนพืชอาหารในบางฤดู(Wongtong et al., 1980) ใน ปี พ.ศ. 2533 ศาสตราจารย์ ดร. สุธรรม อารีกุล โดยการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเลี้ยงไหมอีรี่ โดยเล็งเห็นว่าไหมชนิดนี้กินใบมันสำปะหลังเป็นอาหาร เกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังสามารถนำใบมาเลี้ยงไหมแทนการทิ้งไปเฉย ๆ การเด็ดใบมาเลี้ยงไหมไม่ทำให้เกิดผลเสียกับผลผลิตหัวมัน ถ้าเด็ดใบไปเลี้ยงไหมอีรี่ไม่เกิน 50 % ของใบที่มีทั้งต้น จะไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตหัวมัน และถ้าใบถูกเด็ดไป 30 % กลับ ทำให้ผลผลิตหัวมันสูงขึ้น (ทิพย์วดี และคณะ 2535) เกษตรกรหลายครัวเรือนในจังหวัดขอนแก่นสามารถเลี้ยงไหมอีรี่ได้เองเป็นอย่าง ดี รวมทั้งสามารถปั่นออกมาเป็นเส้นใย และทอเป็น
การใช้ประโยชน์จากไหมอีรี่
ใน ประเทศไทยมีงานวิจัยและส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรี่อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีการทำในเชิงพาณิชย์เป็นอุตสาหกรรม จึงยังไม่มีการศึกษาถึงการใช้ประโยชน์จากไหมอีรี่อย่างจริงจัง ซึ่งประโยชน์จากไหมอีรี่และผลผลิตจากไหมอีรี่มีมากมาย เช่น :
1. ไข่และตัวหนอนใช้เป็นอาหารเลี้ยงแมลงที่เป็นประโยชน์ได้ เช่น ไข่ไหมอีรี่ใช้เลี้ยงแตนเบียนไข่ในสกุล Anastatus และ Ooencyrtus เพื่อนำไปใช้กำจัดมวนลำใยและมวนลิ้นจี่ซึ่งเป็นแมลงศัตรูสำคัญของไม้ผล ตัวหนอนไหมอีรี่ใช้เลี้ยงมวนพิฆาตEcocanthecona furcellata ซึ่ง เป็นมวนตัวห้ำที่มีประโยชน์เพราะทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินตัวอ่อนของ แมลงชนิดอื่นเป็นอาหาร การใช้หนอนไหมอีรี่เป็นอาหารทำให้สามารถผลิตมวนตัวห้ำนี้ให้ได้ปริมาณมาก ๆ เพื่อใช้กำจัดแมลงศัตรูสำคัญทางเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น หนอนคีบละหุ่ง หนอนกระทู้ หนอนแก้วส้ม หนอนร่าน หนอนบุ้ง ในสวนส้ม มะนาว มะม่วง ส้มโอ เป็นต้น
2. ตัวหนอนและดักแด้เป็นอาหารของคนได้เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดักแด้ไหมอีรี่มีไขมันสูงถึง 25 % มีโปรตีน 50 % และมีไนโตรเจน 11 % นอกจากนั้นยังมีความมันและมีรสชาติอร่อยถูกปากของชาวเขาและเกษตรกรทางภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเช่นเดียวกับหนอนในไม้ไผ่ที่เรียกกันว่ารถด่วน ซึ่งนิยมกินกันมาก แต่มีราคาแพงและหาซื้อไม่ค่อยได้
3. เนื่อง จากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ตัวหนอนและดักแด้ที่คัดทิ้งสามารถทำเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้เช่นเป็นอาหาร ของเป็ด ไก่ หมูและปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนอนไหมวัย 3และ 4 ใช้เลี้ยงปลาได้ดีมาก หรือจะพัฒนาเป็นอาหารเสริมเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น เร่งสีในปลาสวยงาม ซึ่งน่าจะมีราคาถูกกว่าอาหารปลาโดยทั่วไป
4. เส้นใยนอกจากจะใช้ทอเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแล้ว ยังเหมาะสำหรับทำผ้าห่ม ผ้านวม ผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง ผ้าปูโต๊ะ ทอเป็นพรมและทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย (Maxwell-Lefroy and Ghosh, 1912) ใน ประเทศญี่ปุ่นยังนำเส้นใยไหมอีรี่ทำเป็นผ้าสวยงามห่อของขวัญ ทำดอกไม้ประดิษฐ์ และวัสดุสวยงามอื่นๆ คล้ายกับการใช้ประโยชน์จากกระดาษสา

5. รังไหมสามารถนำมาบดเป็นผงแป้งละเอียดที่มีความแวววาว ใช้ทำเครื่องสำอางหรือเคลือบวัสดุต่างๆ ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ และงานผีมือที่สวยงามมากมาย
6. เส้นใยมีลักษณะเหมาะที่จะพัฒนาเป็นกระดาษกรองที่มีคุณภาพ สำหรับใช้ในงานทดลองทางวิทยาศาสตร์ เพราะเส้นใยสานกันละเอียดมีความเหนียว ทนทาน และไม่เปียกน้ำง่าย
ความสำคัญของการพัฒนาไหมอีรี่เป็นอุตสาหกรรม
ไหม อีรี่เป็นแมลงที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไหมชนิดนี้สามารถพัฒนาเป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้ผู้ประกอบการ ทั้งสิ้น การวิจัยและพัฒนาไหมอีรี่จนเป็นอุตสาหกรรมจะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ เป็นอย่างมาก ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1. ข้อดีของไหมอีรี่ คือหนอนไหมกินใบมันสำปะหลังหรือใบละหุ่งเป็นอาหาร ทำให้สามารถส่งเสริมให้เกษตรกรที่ปลูกละหุ่งหรือมันสำปะหลัง เลี้ยงไหมอีรี่เป็นอาชีพเสริมได้ โดยไม่ต้องลงทุนปลูกพืชอาหารอย่างอื่นเกษตรกรจะได้ประโยชน์ทั้งจากเมล็ด ละหุ่งหรือหัวมันสำปะหลังและรังไหม ทำให้มีรายได้เพิ่มและมีงานทำในท้องถิ่น ไม่ต้องละทิ้งครอบครัวไปหางานทำที่อื่นในช่วงแห้งแล้งนอกฤดูเพาะปลูก เกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการเลี้ยงไหมหม่อนอยู่ แล้ว จะสามารถเลี้ยงไหมอีรี่ได้เป็นอย่างดี
2. ประเทศไทยเป็นที่ส่งออกสินค้าสิ่งทอมากที่สุดประเทศหนึ่ง โดยพึ่งเส้นใยวัตถุดิบจากฝ้ายเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันการปลูกฝ้ายประสบกับปัญหาเรื่องโรคและแมลงศัตรูฝ้าย ทำให้ไม่สามารถผลิตเส้นใยได้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ เส้นใยไหมอีรี่เป็นไหมปั่นคล้ายกับฝ้าย จึงอาจใช้ทดแทนฝ้ายได้ นอกจากนี้ไหมปั่นยังเป็นที่ต้องการของตลาดนานาชาติมาก ดังนั้นการพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรี่ในประเทศไทยจะทำให้เกิด อุตสาหกรรมไหมปั่น และอาจทำให้ไทยเป็นประเทศผูกขาดสินค้าประเภทนี้ได้ในอนาคต
3. การส่งเสริมให้มีการเลี้ยงไหมอีรี่ในท้องถิ่น จะช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ไหมอีรี่เลี้ยงได้ง่าย แข็งแรงและทนต่อโรคได้ดีกว่าไหมหม่อน (Attathom, 1987) เด็ก สามารถช่วยผู้ปกครองเลี้ยงได้ ทำให้เด็กรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และเกิดรายได้พิเศษ การพัฒนาเส้นใยไหมเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะช่วยสร้างงานในชนบท สร้างอาชีพที่อาจขยายผลเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ผลิตสินค้าส่งออกนำรายได้และชื่อเสียงมาสู่ประเทศได้ นอกจากนั้นยังช่วยส่งเสริมกิจกรรมร่วมกันและสร้างความสามัคคีในครอบครัวและ ในชุมชน
4. ไหมอีรี่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านวิชาการได้ เช่น ใช้ในการทดลองวิจัยที่ต้องการแมลงเป็นสัตว์ทดลอง เพราะไหมอีรี่เลี้ยงง่ายไม่เสียค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนั้นยังเป็นประโยชน์กับงานวิจัยที่เกี่ยวกับการควบคุมแมลงศัตรูพืชโดย ชีววิธี (Biological control) เพราะสามารถใช้ตัวหนอนไหมเลี้ยงแมลงตัวห้ำและตัวเบียนได้
ไหม ป่าอีรี่จึงจัดเป็นแมลงที่มีคุณค่าและมีศักยภาพที่จะเป็นแมลงเศรษฐกิจที่ สำคัญได้ หากมีการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังและอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากแมลงตัวนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การพัฒนาการผลิตไหมอีรี่สู่ระดับอุตสาหกรรม จะเป็นการสร้างงานในชนบท สร้างทางเลือกให้เกษตรกรในการดำเนินอาชีพ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกร และเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรได้
เอกสารอ้างอิง
ทิพย์วดี อรรถธรรม วาสนา กันหะสุต และสุธรรม อารีกุล 2535 การเลี้ยงไหมป่าอีรี่ด้วยพืชอาหารชนิดต่างๆ
รายงาน การประชุมทางวิชาการครั้งที่ 30 สาขาพืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2535 หน้า 291-300 พิสิษฐ์ เสพสวัสดิ์ และ เตือนจิตต์ สัตยาวิรุทธ์ 2520 ข้อมูลบางประการของไหมป่า กสิกร 50(3):148-157 วราพิชญ์ พัฒนเศรษฐานนท์ 2539 ผลผลิตเส้นใยไมป่าอีรี่จากการละลายสารเหนียวของรังไหมด้วยสารต่างๆ
รายงาน ผลงานวิจัย โครงการวิทยาศาสตร์ โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น 39 หน้า สุธรรม อารีกุล 2534 การเลี้ยงไหมป่าอีรี่เพื่อการพัฒนาอีสาน

ที่มา:ทิพย์วดี อรรถธรรม
ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น