วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผ้าทอมือจากเส้นใยไหมอีรี่...ประสบการณ์และภูมิปัญญาจากท้องถิ่น


ผ้าทอมือจากเส้นใยไหมอีรี่...ประสบการณ์และภูมิปัญญาจากท้องถิ่น
นิตยา มหาไชยวงศ์
ศูนย์วิชาการและเทคโนโลยีสิ่งทอพื้นบ้าน (ฝ้ายแกมไหม)
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
cotton@ist.cmu.ac.th
การส่งเสริมให้กลุ่มผู้ผลิตสิ่งทอในภาคเหนือเลี้ยงไหมอีรี่
ไหมอีรี่เป็นไหมป่าที่นิยมเลี้ยงกันมากในอินเดีย จีนและญี่ปุ่น เนื่องจากไหมอีรี่มีความทนทานต่อโรคและแมลง สามารถเลี้ยงได้ง่ายทั้งที่ราบและเชิงเขา ในปี 2534 ศ.ดร.สุธรรม อารีกุล และ ศ.ดร.ทิพย์วดี อรรถธรรม ได้นำไหมอีรี่มาทดลองเลี้ยงจนได้สายพันธุ์ที่สามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้ในสภาพอากาศของไทย จนกระทั่งในปี 2550 ศ.ดร.ทิพย์วดี อรรถธรรม ได้ชักชวนทางโครงการฝ้ายแกมไหม ให้นำไหมอีรี่มาส่งเสริมให้กลุ่มผู้ผลิตสิ่งทอในเครือข่ายเลี้ยงเพื่อนำเส้นใยมาผลิตสิ่งทอ

ในช่วงปีแรกก็ค่อนข้างจะขลุกขลักเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงไหมเลย แต่ก็ได้เลือกไปส่งเสริมการเลี้ยงไหมให้กลุ่มผู้ผลิตที่เป็นคนอีสานอพยพมาตั้งถิ่นฐานในภาคเหนือ เช่น กลุ่มทอผ้าในจังหวัดกำแพงเพชร และนครสวรรค์ รวมทั้งกลุ่มลาวเวียงที่จังหวัดอุทัยธานีรวมกัน 6 กลุ่มเป็นรุ่นบุกเบิก ต่อมาในปี 2552 ได้ขยายการเลี้ยงมาทางภาคเหนือตอนบนมีกลุ่มที่จังหวัดตาก ลำปาง เชียงใหม่ พะเยา และเชียงราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เคยเลี้ยงไหมแต่สนใจอยากได้รังไหม และมีรายได้จากการขายดักแด้ รวมมีกลุ่มผู้ผลิตสิ่งทอและกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงไหมอีรี่ 21 กลุ่ม รวมจำนวนคนเลี้ยงไหมอีรี่ 76 คน (ไม่รวมจำนวนผู้ปั่นเส้นและทอผ้าไหมอีรี่) นอกจากนี้ได้นำไหมอีรี่ไปใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในวิชาเกษตรและวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนบ้านกาดวิทยาคม อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ด้วยมีความต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้และปลูกฝังให้มีใจรักงานฝีมือพื้นบ้าน อีกทั้งการเลี้ยงไหมนี้นักเรียนสามารถนำไปเลี้ยงเองที่บ้านได้ หรืออาจจะเป็นอาชีพในอนาคตหากนักเรียนไม่ได้ศึกษาต่อ
การเลี้ยงไหมอีรี่ได้ผลมากกว่า(รังไหม)ที่คิด
การเลี้ยงไหมอีรี่จะเลี้ยงได้ดีในช่วงต้นฝน ประมาณปลายเดือนพฤษภาคมอากาศไม่ร้อนจัด ซึ่งเป็นช่วงที่พืชอาหารทั้งต้นละหุ่งและมันสำปะหลังเริ่มฟื้นตัวแตกใบ ไหมอีรี่จะเลี้ยงต่อเนื่องไปได้จนถึงฤดูหนาว หากอากาศไม่หนาวเย็นมากๆ ในช่วงเดือนธันวาคม – มกราคมก็ยังสามารถเลี้ยงต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคม กลุ่มผู้ผลิตที่เลี้ยงไหมอีรี่เก่ง ดูแลดีจะสามารถเลี้ยงไหมอีรี่ได้ประมาณ 6 - 7 รุ่นต่อปี พอถึงช่วงอากาศร้อนจัด เดือนเมษายน – พฤษภาคม ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะหยุดเลี้ยงไหมอีรี่ จะมีบางคนเลี้ยงไว้เล็กน้อยเพื่อรักษาพันธุ์เท่านั้น ประกอบกับพืชอาหารในช่วงนั้นก็ค่อนข้างจะหายากด้วย

ในช่วงเริ่มต้นที่ส่งเสริมเลี้ยงไหมอีรี่จะเลือกกลุ่มที่มีการปลูกมันสำปะหลังอยู่แล้ว เพื่อที่ผู้เลี้ยงจะสามารถเก็บใบมันสำปะหลังเลี้ยงหนอนไหมได้เลย ผลจากการเลี้ยงไหมของโครงการและของกลุ่มที่อุทัยธานีซึ่งปลูกมันสำปะหลังและมีต้นละหุ่งในพื้นที่มากพอสมควรก็จะเลี้ยงหนอนไหมด้วยพืชทั้งสองชนิด ได้ข้อสรุปว่าหนอนไหมชอบกินใบละหุ่งมากกว่าและพบว่ารังไหมที่เลี้ยงด้วยใบละหุ่ง รังไหมจะมีความโปร่งฟู และมันวาวกว่า

เมื่อทางโครงการได้ขยายการส่งเสริมการเลี้ยงไหมมาทางภาคเหนือตอนบน ซึ่งไม่มีการปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ จึงได้ให้ผู้สนใจเลี้ยงทำการปลูกละหุ่งอย่างน้อยคนละ 1 งาน หรือต้องมีละหุ่งไม่น้อยกว่า 50 ต้น เพื่อจะสามารถเก็บใบละหุ่งมาเลี้ยงหนอนได้ตลอด เนื่องจากได้เกิดเหตุการณ์กับกลุ่มที่อำเภอพร้าว สมาชิกเพาะไข่ไว้เลี้ยงเองจำนวนมาก เพราะอยากได้ดักแด้และรังไหมมากๆ (ดักแด้ที่อำเภอพร้าวขายได้กิโลกรัมละ 200 บาท) แต่ละหุ่งที่ปลูกไว้ยังไม่โตพอที่จะเก็บใบมาเลี้ยงหนอน ผู้เลี้ยงมีหลายคนต้องไปเก็บใบละหุ่งในป่าหรือในลำห้วย และเวลานั้นเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ละหุ่งไม่แตกใบ เกิดการแย่งกันเก็บใบละหุ่ง รวมถึงต้องไปเก็บใบละหุ่งไกลมากเป็นการเพิ่มต้นทุน (ค่าน้ำมันรถ) จึงเป็นที่มาของการให้ผู้สนใจต้องปลูกละหุ่งหรือมันสำปะหลังก่อนประมาณ 30 - 45 วัน เมื่อละหุ่งโตจึงจะขอไข่ไหมจากอาจารย์ทิพย์วดีให้เริ่มเลี้ยงได้

ผ่านไป 3 ปีกลุ่มผู้เลี้ยงไหมรุ่นแรกและรุ่นกลางมีความเข้าใจสามารถจะเลี้ยงไหม และผลิตไข่ได้เองอย่างต่อเนื่อง ทราบวิธีดูแลหนอนไหมในช่วงอากาศร้อนจัดและหนาวได้แล้ว และได้เป็นพี่เลี้ยงแนะนำต่อให้กลุ่มเลี้ยงไหมรุ่นหลังๆ รวมถึงได้แบ่งปันไข่ไหมให้กับสมาชิกในกลุ่มหรือในเครือข่าย ด้วยมีความรู้สึกว่าการให้ไข่ไหมต่อกัน ไข่ไหมไม่ต้องเดินทางไกล และอาจารย์ทิพย์วดีจะได้กระจายไข่ไหมไปให้กลุ่มใหม่ๆ แทน

จากประสบการณ์ส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรี่และการปลูกฝ้ายให้กับกลุ่มผู้ผลิตสิ่งทอ ได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมาก โครงการฝ้ายแกมไหมได้ส่งเสริมการปลูกฝ้ายมาตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน กลุ่มผู้ผลิตผลิตฝ้ายรวมกันต่อปีได้ไม่ถึง 1 ตัน ได้เงินกันคนละพันกว่าบาทต่อปี แต่ไหมอีรี่หากเลี้ยงประมาณ 10 กรัมจะได้เงินขั้นต่ำ 1,200 บาทต่อรุ่น ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ดังเช่น แม่บุ่นและแม่นุ่น คนแก่ที่บ้านโคกพุทธา จ.นครสวรรค์ มีเงินของตัวเองไปทำบุญในช่วงเข้าพรรษา สมาชิกกลุ่มที่พนาสวรรค์ มีเงินไปชำระให้ ธกส. ตามเวลาที่กำหนด ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องไปหาเงินนอกระบบมาขัดตราทัพ แม่สำอางและแม่สว่างที่บ้านโซ้ จ.พะเยา มีเงินจากการเลี้ยงไหมจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าทุกเดือน และมีเงินให้หลานไปโรงเรียนทุกวัน เป็นต้น
ความแตกต่างของการเลี้ยงไหมอีรี่และการปลูกฝ้ายอินทรีย์



ดังนั้นการเลี้ยงไหมอีรี่จึงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับชี้ให้กลุ่มผู้ผลิตได้เห็นถึงความตั้งใจและดูแลเอาใจใส่ต่อสิ่งที่กำลังทำ หากต้องการได้ผลตอบแทนที่ดีก็จะต้องเอาใจใส่ดูแลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการผลิต


กลุ่มผู้เลี้ยงไหมอีรี่จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มผู้ผลิตสิ่งทอจะมีกลุ่มผู้ผลิตผ้าทั้งไหม ผ้าฝ้าย และสนใจทำการเลี้ยงไหมอีรี่เพิ่มเพื่อเอาไว้ใช้ผลิตเส้นไหมอีรี่และทอผ้าไหมอีรี่จำหน่าย ส่วนกลุ่มเกษตรกรจะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ผลิตผ้ามาก่อนแต่สนใจจะเลี้ยงไหมอีรี่เพื่อให้ได้รังไหมและดักแด้จำหน่ายเพิ่มรายได้แก่ครอบครัว
ไหมอีรี่ . . . ทางเลือกใหม่สำหรับสิ่งทอ
รังไหมอีรี่มีลักษณะเรียว ยาว สีขาวนวล เส้นใยยาวไม่ต่อเนื่อง ต่างจากเส้นใยที่ได้จากไหมหม่อนซึ่งเป็นเส้นใยยาว (filament) ตามธรรมชาติ เนื่องจากไหมอีรี่สร้างเส้นใยเป็นชั้นๆ (7 – 8 ชั้น) ระหว่างชั้นมีช่องว่าง เส้นไหมที่ปลายรังด้านหนึ่งพันกันโดยเว้นช่องว่างเล็กๆ สำหรับให้ผีเสื้อเต็มวัยออกจากรังได้ ในขณะที่เส้นไหมที่ปลายรังไหมอีกด้านหนึ่งพันกันโดยไม่เหลือช่องว่างทำให้รังไหมอีรี่เป็นรังเปิด ส่วนปลายรังอีกด้านหนึ่งเป็นก้นปิด ดังนั้นการนำเส้นไหมจากรังไหมอีรี่จึงต้องใช้วิธีการปั่นเส้นใยสั้นเช่นเดียวกับการปั่นฝ้าย


คุณลักษณะเด่นของไหมอีรี่ คือเป็นเส้นใยโปรตีน เส้นใยสั้น (short fiber) คล้ายฝ้าย สีขาวนวล น้ำหนักเบาฟู อ่อนนุ่ม ให้ความอบอุ่นเหมือนขนสัตว์ มีความมันเงาในตัว แต่ไม่เงาแวววาวเหมือนไหมหม่อน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่นิยมความเรียบง่ายแต่ดูดี ดูแลรักษาง่าย ซักรีดได้ตามปกติเหมือนผ้าฝ้าย เส้นไหมอีรี่ปั่นมือเมื่อนำมาทอเป็นผืนผ้าได้ผ้าทอที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื้อผ้ามีความนุ่ม สวยคลาสสิก ลักษณะคล้ายทอจากฝ้ายและขนสัตว์แต่ไม่ระคายผิว เมื่อประกอบเข้ากับวิธีการเลี้ยงจนทอเป็นผืนผ้าโดยไม่ใช้สารเคมีต้องห้ามในกระบวนการผลิต สามารถสร้างจุดขายเป็นผลิตภัณฑ์สีเขียว (green product) ไม่เป็นอันตรายและไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตรงกับกระแสความต้องการของตลาดระดับบน (high end) และตลาดต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา แคนาดา และยุโรปในขณะนี้


สำหรับกระบวนการผลิตเส้นไหมและผ้าไหมอีรี่ ทางโครงการได้ศึกษาทดลองหาวิธีการต้มลอกกาวไหมอีรี่ โดยพยายามใช้สารเคมีที่ไม่อันตรายในจำนวนน้อยและใช้เวลาต้มย้อมน้อย เพื่อป้องกันเรื่องสารเคมีตกค้างและประหยัดเวลา/เชื้อเพลิง ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ นอกจากนั้นได้นำเครื่องปั่นด้ายเมเดลรีจักรา (MC) มาใช้ในการปั่นเส้นไหมอีรี่ เมื่อผู้ผลิตต้มลอกกาวออกหมดแล้ว สามารถจะนำรังไหมไปยีฟูและปั่นเป็นเส้นด้ายด้วยเครื่อง MC ได้เลย ผู้ผลิตที่มีทักษะในการปั่นเส้นด้ายฝ้ายด้วยเครื่องมือพื้นบ้าน (หลา, เผี่ยน) ก็สามารถปั่นไหมอีรี่ด้วยเครื่องมือพื้นบ้านได้ แล้วนำเส้นไหมอีรี่ไปย้อมสีที่ต้องการ หรือนำรังไหมที่ต้มลอกกาวแล้วไปย้อมสีที่ต้องการก่อนนำมาปั่นเส้น มีกลุ่มผู้ผลิตประมาณหนึ่งในสามที่เลี้ยงไหมอีรี่และปั่นเส้นไหมอีรี่ที่ยังไม่ย้อมสีขาย การย้อมสีไหมอีรี่ของกลุ่มผู้ผลิตในเครือข่ายจะย้อมสีธรรมชาติเท่านั้น เนื่องจากต้องการให้เป็นผลิตภัณฑ์สีเขียวที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค


การทอผ้าไหมอีรี่ในช่วงเริ่มต้นที่กลุ่มผู้ผลิตยังปั่นเส้นไหมอีรี่ไม่เก่ง ได้เส้นไหมอีรี่จำนวนน้อยและเส้นไหมไม่สวย กลุ่มผู้ผลิตที่เลี้ยงไหมหม่อนควบคู่กัน ได้นำไหมหม่อนมาเป็นเส้นด้ายยืนและใช้เส้นไหมอีรี่เป็นเส้นด้ายพุ่ง ส่วนคนที่ปั่นเส้นไหมอีรี่ได้สวยเส้นเล็กเรียบก็จะนำเส้นไหมอีรี่มาเป็นทั้งเส้นด้ายยืนและเส้นด้ายพุ่งทอเป็นผ้าไหมอีรี่ล้วน ได้เนื้อผ้าและผิวสัมผัสที่แตกต่างกัน ซึ่งผ้าทั้งสองแบบเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากกว่าผ้าที่ทอจากไหมอีรี่ผสมกับเส้นด้ายฝ้าย ไหมอีรี่เหมาะสำหรับทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสติดกับร่างกาย เช่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าห่ม เครื่องนอน ปลอกหมอน เสื้อผ้าเด็ก เครื่องแต่งกายของพระสงฆ์หรือกลุ่มมังสวิรัต และเหมาะมากที่จะเป็นเครื่องนุ่งห่มในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น ขณะนี้บริษัท สปัน ซิลด์ เวิร์ด จำกัด กำลังดำเนินการปั่นเส้นไหมอีรี่ (spun silk yarn) ในระบบโรงงานเพื่อให้ได้เส้นไหมอีรี่ขนาดเล็ก – ใหญ่ หลายๆ ขนาด ก็จะทำให้สามารถผลิตผ้าไหมอีรี่ได้หลากหลายชนิดและรูปแบบขึ้น ถึงเวลานั้นก็อยากเชิญชวนมาใช้ผลิตภัณฑ์จากไหมอีรี่ทั้งที่ผลิตจากชุมชนและผลิตจากโรงงาน นอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ไม่ทำลายชีวิต ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังได้ช่วยกันส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานให้ครบวงจรไปพร้อมกันด้วย

คุณฐิติชัย อัครศิลปิน
ผู้จัดการฝ้ายซอคำ เชียงใหม่
เป็นผู้ขายและผู้ใช้ผ้าทอพื้นบ้านทุกชนิด

“ชอบไหมอีรี่มาก มีลักษณะเฉพาะตัว นุ่ม ทิ้งตัวดี อุ่นคล้ายขนแกะแต่ไม่ระคายผิว มีประกายวาวเล็กน้อย (แบบคนถ่อมตัว) ไหมหม่อนก็จะแวววาวมากไป ฝ้ายหรือเฮมพ์ก็จะด้าน ไม่มีประกายเลย ในส่วนของลูกค้าที่ไม่รู้จักเรื่องเส้นใยจะแยกไม่ออกคิดว่าไหมอีรี่เป็นฝ้าย แต่เมื่อรู้เรื่องราวการผลิตแล้วจะชอบมากเพราะไม่ทำลายชีวิต และไม่เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม”

คุณพรพิณี บุญบันดาล
นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ กรมหม่อนไหมแห่งชาติ

“ความรู้สึกจากการใช้และสัมผัสผ้าพันคอไหมอีรี่เปรียบเทียบกับผ้าพันคอจากขนแกะ ขนกระต่าย และขนอปาก้า ผ้าขนสัตว์ทั้งสามชนิดถ้าจับจะรู้สึกนุ่มมือ เนื่องจากมีขนยื่นออกมาอยู่บนเนื้อผ้า ถ้าจับผ้าไหมอีรี่จะรู้สึกนุ่มน้อยกว่า แต่ถ้าเอามาพันกับคอ ได้ความรู้สึกอุ่นเหมือนกันแต่ไหมอีรี่จะไม่รู้สึกระคายผิว และไหมอีรี่ถ้าซักจะวาวมากขึ้น”


แหล่งที่มา : ประชาคมวิจัย ฉบับที่ : 93 หน้าที่ : 05 จำนวนคนเข้าชม : 424 คน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น